![108 พันไมล์ สายใยสู่ชุมชน](https://www.samanchon.com/wp-content/uploads/2022/05/alex-munsell-Yr4n8O_3UPc-unsplash-820x545.jpg)
108 พันไมล์ สายใยสู่ชุมชน
Lorem Ipsum is simply dummy text of the printing and typesetting industry. Lorem Ipsum has been
ท่ามกลางฤดูร้อน กับภาวะความแห้งแล้งอย่างหนักอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตั้งแต่ต้นฤดูร้อนแม่น้ำหลายสายในพื้นที่ภาคเหนือก็เริ่มแห้งขอดจนคนแก่คนเฒ่าหลายคนถึงกับเอ่ยว่า เป็น ความแห้งที่สุดในช่วงชีวิต น้ำเคยมีไว้สำหรับการแบ่งปันกำลังกลับกลายเป็นการยื้อแย่งยามเช้าที่บ้านน้ำปุกอากาศยังเย็นสบายเพราะหมู่บ้านรายล้อมไปด้วยภูเขาพื้นที่ป่าต้นน้ำยมทางทิศตะวันออกของ อำเภอปง จังหวัดพะเยา ชาวบ้านที่นี่มีเชื้อสายมาจากประเทศลาว จากแขวงจำปาสัก และนครหลวงเวียงจันทร์ พวกเขาเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านในปีพ.ศ. ๒๔๓๒ ปุกในสำเนียงภาษาของคนลาวมีความหมายว่า ทำให้ตื่นตัว คนภาคเหนือของไทยให้ความหมายว่า พยุงให้ตรง เป็นที่มาของแม่น้ำปุก หมู่บ้านน้ำปุก และฝายน้ำปุก ขบวนรถมอเตอร์ไซด์ รถอีต๊อก นำพาชาวบ้านทั้งชายและหญิงกว่าร้อยคนมุ่งหน้าสู่ฝาย น้ำปุกเหนือหมู่บ้านประมาณ ๓ กิโลเมตร วันนี้มีนัดซ่อมฝาย กว่าร้อยปีฝายโบราณแห่งนี้ยังคงทำหน้าที่ส่งน้ำเข้าสู่ไร่นา แม้กระแสของภายนอกกับคนนจำนวนหนึ่งในหมู่บ้านพยายามที่จะเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงจากฝายที่มีโครงสร้างจากไม้หลัก ไม้ระแนง กรวดหินในแม่น้ำ เป็นฝายคอนกรีต ชาวบ้านจำนวนหนึ่งก็ยังยืนยันว่า ฝายโบราณ น้ำใสสะอาด ไม่มีตะกอนทับถม ปลาขึ้นลงได้ คนในหมู่บ้านช่วยกันทำ ต่างจากฝายคอนกรีตที่เคยเห็นในหมู่บ้านอื่นมีปัญหาเรื่องตะกอนทับถม น้ำเซาะชายฝั่ง ปลาไม่สามารถขึ้นลงได้ แรงงานก็มาจากคนรับเหมาก่อสร้าง “หื้อล้างบ้านเมืองกว้างขวางมากนัก แล้วก็หื้อล้างเขตวัตถุฬากมาติกาวรรณทั้งหลาย เป็นต้น สวน เรือก ไร่นา เหมืองฝาย หื้อวุฑฒิแก่บ้านเมืองแห่งตนฮั้นแล ” ให้ช่วยกันดูแลรักษาบ้านเมือง ดูแลรักษาไร่นา เหมืองฝาย ให้ความสงบสุขและความเจริญแก่บ้านเมือง หากย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ของล้านนาจะพบว่าเหมืองฝายเกิดขึ้นในสมัยปู่เจ้าลาวจกหรือพญาลวจังราชสู่ยุคสร้างบ้านแปงเมืองของพญามังราย มีความเป็นมายาวนานกว่า…
Lorem Ipsum is simply dummy text of the printing and typesetting industry. Lorem Ipsum has been
Lorem Ipsum is simply dummy text of the printing and typesetting industry. Lorem Ipsum has been
วันนี้ที่น้ำปุกมีเสียงตอกดังสนั่นป่าเมื่อตามเสียงไปจึงพบว่าเป็นการทำฝายไม้แบบดั้งเดิม ปัจจุบันพบน้อยมาก ปัญหาเรื่องการแย่งชิงน้ำในปัจจุบันจะพบเห็นในหลายพื้นที่ ด้วยสาเหตุสำคัญเพราะปริมาณน้ำที่มีน้อยลงทุกปีโดยเฉพาะในฤดูแล้ง ศึกชิงน้ำจะเกิดประจำ เหตุที่น้ำเหลือน้อยลงในทุกแม่น้ำส่วนใหญ่มาจากป่าต้นน้ำหายไป และผู้ใช้น้ำบริหารน้ำไม่มีระบบ หรือมือใครยาวสาวได้สาวเอา ดังนั้น ทางภาคเหนือจึงมีบุคคลสำคัญที่เป็นผู้ทรงภูมิด้านการจัดการน้ำหรือ การแบ่งสัดส่วนการใช้น้ำแก่ผู้ใช้น้ำในหมู่บ้านหรือพื้นที่ของตนเองได้อย่างลงตัวโดยไม่ให้เกิดปัญหาการแย่งน้ำ คือ “แก่ฝาย”หรือ “นายฝาย” แต่ละหมู่บ้านจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น มูล บุญมั่น “แก่ฝาย” หรือ ”นายฝาย” แห่งบ้านน้ำปุก อายุ 56 ปี กล่าวว่าแม่น้ำปุกคือแม่น้ำสายหลักของชาวน้ำปุกการรักษาแม่น้ำปุกเพื่อใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าสูงสุด คือหน้าที่สำคัญต้องร่วมแรงร่วมใจกันดูแล ดังนั้น ทุกปีคนน้ำปุกจะร่วมกันตีฝายน้ำปุก เพื่อให้เก็บกักน้ำ ดักตะกอน ชะลอน้ำ ให้ผืนป่าใกล้เคียงชุ่มชื้น โดยใช้ไม้ทำเป็นหลักหลายขนาดตอกลงไปในน้ำและยึดให้แน่นเป็นแผงขวางตลอดแนวลำน้ำประมาณ 50 เมตร (ขึ้นอยู่กับความกว้างของลำน้ำ) ยาวประมาณ 25 เมตร “ประมาณเดือนมีนาคมทุกปี หรือช่วงก่อนที่น้ำจะมา จะมีล่ามฝายทำหน้าที่แจ้งทุกครัวเรือนส่งตัวแทนเข้าร่วมตีฝาย หากครัวเรือนใดที่ไม่ส่งตัวแทนมาจะเสียค่าปรับวันละ 200 บาท แต่ละครั้งการตีฝายจะทำเพื่อซ่อมแซมฝายส่วนที่เสียหายจากน้ำพัดในปีที่ผ่านมา จะเสียหายมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแรงน้ำ หากปีไหนที่ฝายเสียหายมากจะต้องใช้เวลาตีฝายประมาณ 5-7 วัน หากเสียหายน้อย 1-2 วัน ก็เสร็จ” การตีฝายเกิดขึ้นเพราะทุกคนทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ตั้งแต่เด็ก ผู้นำ ประชาชน เจ้าหน้าที่ป่าไม้ของดอยผาช้างซึ่งเป็นลูกหลานในหมู่บ้านและสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล…
ประวัติความเป็นมา เดิมทีก่อนที่จะมาเป็นบ้านน้ำปุกนั้น ชาวบ้านได้อพยพมาจากนครเวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาเหตุของการอพยพคือ หนีความแห้งแล้ง และหาที่ดินทำกินในการดำรงชีวิตประจำวันลำบาก ในตอนนั้นจะอยู่ ในสมัยของรัชกาล ที่ 5 ของไทย ซึ่งตระกูลที่อพยพมาเริ่มแรก มีอยู่ 3 ตระกูล คือ ตระกูลไชยมงคล ตระกูลลาบุตรดี และตระกูลอินธิยา ทั้ง 3 ตระกูล มาพบกันที่จังหวัดน่าน เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2432 แล้วย้ายถิ่นฐานมาตั้งหมู่บ้านที่บ้านน้ำปุก ณ ปัจจุบัน เริ่มแรกของการก่อตั้งหมู่บ้าน มีประชากรประมาณ 7 หลังคาเรือนขณะนั้นบ้านน้ำปุก ยังเป็นหมู่บ้านในเขตของจังหวัดน่าน ต่อมาในปี พ.ศ. 2469 ได้ มีการจัดตั้งวัดขึ้นมา ชื่อวัดน้ำปุก ตำบลควร อำเภอปง จังหวัดน่าน ซึ่งตรงกับสมัยตอนต้นของรัชกาลที่ 7 พระภิกษุรูปแรกที่จำพรรษา คือ พระอินศวร ต่อมาในปี พ.ศ. 2485 ได้มีการย้ายวัดจากที่เดิมมาตั้งบนภูเขาจนถึงปัจจุบัน ส่วนวิหารวัดหลังเก่าชาวบ้านได้ทำนุบำรุงรักษาไว้เป็นอาคารเรียน ซึ่งในช่วงนั้นจะตรงกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลของสงครามทำให้ชาวบ้านมีความตระหนักถึงความปลอดภัยจึงได้มีการขุดหลุมหลบภัยเพื่อใช้หลบภัยในยามที่มีสงคราม ในตอนนั้นบ้านน้ำปุกมีประชากรประมาณ 20 หลังคาเรือน ต่อมาในปี พ.ศ. 2488 ภัยสงครามก็สิ้นสุดลง บ้านน้ำปุกก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากนั้นบ้านน้ำปุกก็ได้ แยกออกจากจังหวัดน่าน มาอยู่…